วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

  1. ปลากัดมาเลย์ลูกร้อย  ******  ราคาตัวละ 100 บาท *******
ประวัติ จากประวัติของปลาลูกร้อยของผมนะครับเดิมเป็นปลาลูกนอกมาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งลุงผมได้ไปนำมาจากที่นั่นและสอบถามก็ได้ความว่า เป็นปลาที่เจ้าของบ่อประเทศมาเลเซียนำสายพันธุ์ ปลามาจากปลากัดแปดริ้วของไทยเรานั่นเองครับ แต่ที่นั่นเขามีข้อได้เปรียบเรื่องนํ้าและ้ดินที่มีแร่ธาตุ จากดินตะกอนภูเขาไฟนะครับ ผสมกับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่เป็นภูเขาอากาศจึงเย็นและสมํ่าเสมอ  ปลาจึงมีการพัฒนาเนื้อหนังที่ดีกว่าปลาของไทยดั้งเดิมครับ แต่ปัจจุบันนี้มาเลย์ได้พัฒนาหัวใจ ปลากัดให้ไม่แพ้ปลาไทยแล้วครับ จึงมีที่มาของชื่อว่าปลามาเลย์สายหัวใจที่ลุงผมพัฒนา ให้บัวหลวงปลากัดนั่นเองครับ
ลักษณะการกัด กัดก่อนแน่นอนตั้งแต่ต้นนํ้าเพราะเป็นมาเลย์สายหัวใจที่ไม่มีกลัวปลาใดแม้จะใหญ่กว่านะครับ  เน้นกัดหน้า ปากตาเพราะเป็นปลาพุ่งกัดนะครับที่เด็ดสุดคือ มีการลงโคนหางเป็นจังหวะสลับกับหน้าครับ เพราะจุุุุดอ่อนของมาเลย์อยูู่ ่โคนหาง จึงต้องพัฒนาปลาให้กัดหางด้วยเสมอ ไม่ว่าจะมีเพลงกัดอย่างไรก็ตาม
คุณสมบัติ เนื้อหนังดี เขี้ยวคม สู้ไม่มียอมถอย ปลาอายุถึง ทดสอบก่อนจับขึ้นจากบ่อนะครับว่าจะเก่งช่วงใด ทดสอบตอน 4-5 เดือน ครั้งแรก ถ้าผ่านแสดงว่าปลาเก่งลูกอ่อนถ้าได้ขนาดจับขึ้นได้  ทดสอบอีกครั้งอายุไม่น้อยกว่า8-9 เดือนเรียกว่าอายุมาตรฐาน แต่ปัจจุบันได้มีมาตรฐานของฟาร์มบัวปลวงปลากัดคือต้องได้อายุ10เดือนครับจึงจะจับขึ้นเป็นมาตรฐานของฟาร์มครับ
เทคนิคแนะนำ ฟิตปลาตั้งแต่อยู่ในบ่อโดยให้กุ้งทะเลเสียบไม้ลอยนํ้าปลาจะมารุมกันกิน และสะบัดฝึกแรงไปในตัว
สีของปลากัดมาเลย์ลูกร้อยมีผลต่อความเก่งหรือไม่ จากประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก ผู้รู้หลายคนนะครับ พบว่าปลามาเลย์ลูกนอกสีจะไม่สดคือจะออกทึบๆเทาๆทั้งตัวเหงือกแก้มใหญ่  นะครับ ปลาพวกนี้จะหนังดีเป็นเลิศ ถ้าพัฒนาคัดพันธุ์ให้สายถึงหัวใจจะเป็นปลาเก่งมาก ได้ศึกษาปลาลักษณะนี้กัดคือปลาจะมีความแข็งมากไม่กระเทือนและกัดหนักมากๆ ปลาพวกนี้ต้นนํ้ามักจะ  ช้าและปล่อยให้โดนกัดก่อน สักสิบที จึงกัดเขาสักครั้ง แต่พอได้ระยะจะตามกัดจนชนะรวดเดียวจบครับ ส่วนปลาลูกร้อยสายหัวใจของผมพบสีเทาบ้างในครอกนึง แต่ที่นิยมที่สุดเห็นผลคือสีม่วงแดง เพราะหัวใจดีมาก กัดเร็ว กัดคม จังหวะดี และสีม่วงแดงนี้จะมีเลือดปลามาเลย์มากที่สุดในบรรดาทุกสีแต่มีข้อเสียคือเราสามารถนำมาสู้ได้ในช่วงระยะเวลา ปลาอายุไม่เกิน 11-12 เดือน ถ้านานกว่านี้ ปากมักจะเสียง่าย แต่ถ้าไม่เกินอายุนี้รับรองว่าประทับใจครับ ส่วนปลาสีเขียวหางแดง หรือเขียวล้วน เป็นปลาที่มีการกัดที่หนักหน่วง แม้จะช้ากว่าม่วงแดง แต่การยืนระยะเวลาไม่แพ้กันครับข้อดีคือปากปลาจะทนกว่า และปากไม่เสียง่ายๆแม้อายุจะเกิน1ปี ก็ตาม ตอนนี้ผมจึงเน้นทำเขียวหางแดงนะครับเพราะปากจะทนกว่า  แต่ม่วงแดงก็ยังคงมีครับ สีอื่นๆ เช่นนํ้าเงิน เทาแดง เทาดำแดง จะกัดออกแนวพื้นฐานคือกัดช้าตาม สไตล์มาเลย์ แต่การยืนระยะไม่แพ้ใครครับ เรื่องหัวใจก็ปลาแปดริ้วเรานี้เองครับเรายืนสายพันธุ์ ไว้ และพัฒนาสายพันธุ์ทุกปีครับ
สนใจติดต่อโทรคุณ มงคล 081-9576907
-        สอบถามบ่อที่มีผลงานได้ทางเราจะแนะนำให้ครับตามผลงานปัจจุบันครับ
มีการนำปลาระดับกัดเยี่ยม จากหลายที่มาพัฒนานะครับสอบถามข้อมูลได้ทุกเดือนครับ
-        ปลายืนตัวเมียสายหัวใจครับต้นตำรับลุงนิด เรื่องหัวใจปลาไม่เป็นรองใครครับ
-        มีการพัฒนาเชิงกัดและเนื้อหนังทุกปีครับ
-        มีการนำเมียลูกนอกเกรดเยี่ยมมาพัฒนาเนื้อหนังครับ
-        สั่งขนาดได้ ลอยใหญ่ ลอยกลาง ลอยเล็ก
-        สั่งสีที่ชอบตามสไตล์การกัดได้ครับ เช่น สีม่วงแดงกัดเร็ว สีเขียวกัดหนักเน้นๆครับ
-        เน้นกัดหน้า ตา สลับลงหาง กัดเร็ว กัดก่อนแน่นอนครับ ฟิตแรงให้เต็มร้อยมีเฮแน่นอนครับ
 
                                                                         ภาพปลามาเลย์ลูกร้อย
 
ชุดในอดีต (ภาพล่างครับ)
 
  
       
 
      
 
    
                                                    
  
ขอขอบคุณปลากัดมาเลย์ลูกร้อย-วิกิพีเดีย
                                                             
เทคนิคฝึกปลากัดเก่ง
การหมักปลาเพื่อแข็งขัน
ผู้เลี้ยงปลากัดควรทำการหมักปลาก่อนนำปลากัดไป ฝึกซ้อม
การหมักปลากัด : เมื่อเรานำปลากัดมาก่อนอื่นควรนำเป็นมาเลี้ยงในน้ำหมัก ใบหูกวาง หรือใบกล้วยน้ำ และควรหา กระดาษมาปิดไว้เพื่อให้ปลากัดนั้นลืมฝูงลืมถิ่นมีผลทำให้เวลานำไปแข็งขัน นั้่นไม่ถอดใจ ไม่แพ้ง่ายระยะเวลาการหมักนั้น ควรหมักตั้งแต่ 7-15 วัน ปลาที่มีความสมบูรณ์จะสร้าง หวอด เป็นจำนวนมากและมีขนาดใหญ่ นั้นเป็นสัญญาณของความพร้อมของปลากัด
น้ำหมักปลา : เกร็ดและหนังของปลากัด นั้นเจริญเติบโตตามอายุของปลา และประเภทของปลากัดก็มีส่วนเช่นกัน อย่างเช่นปลากัดที่มาจาก มาเลย์เซียส่วนใหญ่ มีเกร็ด และหนัง ที่หนา กว่าของไทย ปัจจุบัน ปลากัดของไทยผู้เพาะได้นำแม่พันธุ์ และ พ่อพันธุ์ จาก ต่างประเทศมาผสมทำให้เกร็ดและหนังของปลากัดใน ไทย ปัจจุบันค่อนข้างดีดังนั้นไม่มีเวทย์มนต์ใดๆที่สามารถเปลี่ยนจาก หนังธรรมดา เป็นหนังเหนัยวแต่ในระหว่างการ หมักนั้น เราสามารถใช้ ใบหูกวาง และ ใบกล้วย หมักปลาเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ตามเกร็ดและหนังและทำให้เกร็ดและหนังมีความแน่น เกร็๋ดเรียบเนียน เวลานำไปต่อสู้คู่ต่อสู้จะกัดไม่ค่อยเข้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กัดสายพันธุ์ของปลาด้วย
คุณสมบัติของใบไม้ที่นำมาหมักปลา.

ใบกล้วยน้ำแห้ง. หยุดการเจริญเติบโตของ แบคทีเรีย Escherichia coli, ที่ซึ่งมีผลทำให้ปลาป่วยได้และอาจเข้าไปทำลายเกร็ดและหนัง
ใบหูกวางแห้ง. เป็นใบไม้ที่พบในประเทศไทยมากมาย . ใบไม้ชนิดนี้ทำให้เกร็ดมีความแวววาวและเรียงตัวสนิท , และดึง toxin ออกจากร่างกาย. ช่วยทำให้ปลากัดรู้สึกสบายตัว.
ใบไม้ชนิดอื่นๆ. เช่น ใบกล้วย ใบสัก งวงตาลแห้ง ฯลฯ
การให้อาหารระหว่างเลี้ยงปลากัด : รูปร่างปลานั้นสำคัญมากในการแข็งขันเพราะถ้าปลากัดของเรามีรูปร่างที่อ้วนก็อาจจะมีความเชื่องช้าทำให้สู้คู่ต่อสู้ไม่ได้ และทำให้พ่ายแพ้ไปในที่สุดถ้าปลาผอมก็อาจไม่มีแรงต่อสู้ในเวลาระยะนานๆได้ทำให้พ่ายแพ้ได้เหมือนกันเพราะฉะนั้นในระหว่างการ หมักปลา เราควรให้อาหารให้เหมาะสมกับความสมบูรณ์ของปลาเพื่อให้ปลากัดของเรามีรูปร่างที่ดี
ธรรมดา : รูปร่างจากหัวจรดหางมีความสมส่วนกัน จากใหญ่ไปเล็ก ทำให้เราควบคุมรูปร่างได้ง่าย ควรให้ลูกน้ำ 8 - 10 ตัว ต่อวัน หรืออาจจะให้ ไรแดง หรือ ไรทะเลก็ได้ ช่วยในการขับถ่ายดี ปลารูปร่างนี้ เลี้ยงในน้ำหมัก 7 - 10 วันก็เพียงพอแล้วที่จะนำไป ฝึกฝนต่อ จะทำให้ปลากัดของคุณมีความเร็วเพิ่มขึ้นเพราะรูปร่างดี
ผอม : ถ้าปลาของคุณผอมไปควรให้อาหารเพิ่มหน่อย ลูกน้ำ 10 ตัว หรือ ไรแดง/ไรทะเล วันละช้อน ทุกวัน เลี้ยงในน้ำหมัก ประมาณ 5-7 วันก็พอเพราะปลารูปร่างดีอยู่แล้วถ้าหมักนานกว่านี้อาจทำให้ปลาอ้วนได้
อ้วน :เห็นได้โดยชัดคือตั้งแต่หัว ท้อง และ หาง ไม่มีความสมส่วนกัน ท้องใหญ่.ที่ปลาอ้วนเพราะกินอาหารเข้าไปมากและไม่ขับถ่าย.ปลากัดอ้วนต้องการการคุมอาหารนานหน่อย, ประมาณ 10 - 21 วัน แต่เราก็ยังต้องให้อาหารทุกวันแต่ลดปริมาณลงอาจจะ ให้ลูกน้ำ 6 ตัวพอ อย่างไรก็ตามในระหว่างให้อาหารควรเลือกให้ ลูกน้ำที่ตัวเล็กๆๆเพื่อย่อยง่าย หรืออาจจะให้ไรแดงวันละช้อนเพราะไรแดงมีคุณสมบัติช่วยให้ขับถ่ายได้
โหลปลากัด
โหลที่ใช้เลี้ยงปลากัดควรเป็นโหลที่มีขนาดใหญ่พอสมควรหรือควรใช้โหลให้เหมือนกับที่ ตอนแข็งขันใช้ โหลที่เป็นที่นิยมก็โหลน้ำอัดลมโบราณครับ หาซื้อได้ง่ายครับ จตุจักร ก็มีครับน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำ ใหม่ + น้ำที่ใช้หมักปลากัด ครับอย่างละครึ่ง
ภายในโหลเลี้ยงปลากัด
ในธรรมชาติปลากัดใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำนิ่ง ที่มีพืชน้ำขึ้นอยู่พืชน้ำมีประโชน์ทำให้ปลากัดก่อหวอดดังนั้นเพื่อทำให้ปลากัดรู้สึกสบายแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในธรรมชาติดังนั้นในโหลปลากัดควรจะมีสิ่งเหล่านี้
·
พืชพันธุ์ไม้น้ำ. พืชน้ำมีส่วนช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำ ภายในโหลปลากัดทำให้ตอนกลางคืนมีที่พักผ่อน และช่วยกำจัดหรือจับเศษอาหารให้ไม่กระจายฟุ้งพันธุ์ไม้น้ำที่นิยมนำมาใช้กันได้แก่ ต้นอเมซอล สาหร่ายหางกระรอกสาหร่ายชนิดอื่นๆ บางชนิดเป็นอาจหารของปลากัดด้วย
·
ใบหูกวางแห้ง / ใบกล้วยแห้ง . มีส่วนสำคัญในการกำจัดเชื้อโรคภายในน้ำ และทำให้ปลากัด สบายตัว. ใส่โดยฉีกใส่ลงไปไม่ต้องมาก ให้น้ำพอเป็น น้ำสีชาๆ
การเปลี่ยนน้ำ
น้ำใหม่จะทำให้ปลากัดตื่นตัว บางตัวที่มีการหมักและเลี้ยงมาอย่างดีพอเปลี่ยนน้ำใหม่ ลำตัวแตกเป็นลายชะโดก็มี ฉะนั้นการเปลี่ยนน้ำควรทำดังนี้
การเปลี่ยนน้ำควรทำในตอนเย็น 5 - 6 โมงเย็น ช่วง 3 วันแรก ไม่ต้องเปลี่ยนเพียงแต่ ใช้ท่อยางดูดของเสียออก และเติมน้ำใหม่เข้าไป
ช่วง 5 วัน น้ำเริ่มสีเข้ม ควรเปลี่ยนน้ำ ออก 1/2 ของน้ำทั้งหมด และเติมน้ำใหม่เข้าๆไป
วิธีการเลี้ยงให้เก่งตามตำรา
-
เลือกปลาพันธุ์ดีอายุ 6-8 เดือน นำไปหมักในอ่างหรือหม้อดิน ที่ใส่ใบตองแห้งของกล้วยน้ำว้า ฉีกเป็นเส้นเล็กๆ กว้าง 1-2 ซม. มัดรวมกันเป็นกลุ่มแช่ไว้ในอ่าง จนกระทั้งน้ำมีสีชาแก่ หมักประมาณ 10-15 วัน (ฟาร์มต้าใช้ใบหูกวางแห้ง) ให้ลูกน้ำ 8-10 ตัวทุกวัน หรือวันเว้นวัน ในช่วงการหมัก ปลากัดจะผอมเกล็ดแน่นเรียบและเป็นมัน เมื่อครบกำหนดแล้ว นำปลากัดใส่โถที่มีปากใหญ่เพื่อสะดวกในการตักปลาเข้าออก
- ฝึกปลากัดให้แข็งแรงโดยให้ปลาว่ายออกกำลังตอนเช้า-เย็น ในกะละมังพร้อมกวนน้ำให้ไหลวน ปลากัดจะว่ายทวนน้ำ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที หรือจะใช้วิธีให้ตัวเมีย 3-4 เดือนเป็นลูกไล่ ่ให้ปลากัดไล่ ใส่ลงไปประมาณ 5-6 ตัว ประมาณ 30 นาที จะช่วยให้ปลากัดว่ายน้ำแข็งแรงขึ้น และมีกำลังดี เมื่อนำไปกัดกำลังจะไม่ตก
- ในตอนเช้า 6.00-7.00 น. ให้ปลาพองใส่กันประมาณ 1 นาที ช่วงบ่ายให้นำปลากัดลงพานกับปลากัดเพศเมียที่ขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย และหมักไว้แล้ว 4-5 วัน ปลาเพศผู้และเพศเมียจะพองเข้าหากัน คล้ายจะกัดกัน พานประมาณ 3-5 นาทีในระหว่างการพานอย่าให้เพศผู้ทำร้ายเพศเมียเพราะเพศเมียจะเข็ดไม่พองเข้าหาปลาเพศผู้ แล้วแยกปลาออกแล้วจึงค่อยให้อาหาร ให้ปฏิบัติเช่นนี้ประมาณ 10 ถึง 12 วันปลากัดก็จะสมบูรณ์พร้อมที่จะกัด

การฝึกปลาเก่ง
          ปลากัดจะเก่งได้ 1. สายพันธ์ 2. อยู่ที่คนเลี้ยงถูกวิธีขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้   ปลาเก่งมีขึ้นมีลง  จงใช้จังหวะที่กำลังขึ้นนั้นจะเกิดประโยชน์มากที่สุดหลังจากปลาอายุได้ 8 เดือนและทำการคัดเลือกได้ครอกที่เก่งแล้วให้ทำดังนี้                           
       ....1. หาใบตอง ใบหูกวาง    ดินจอมปลวก    งวงตาลแห้ง    ใบสัก   ตะไคร้         มาใส่โหลหมักใส่น้ำให้สีออกชาๆ กรองเอาแต่น้ำ มาใส่โหลหมักปลาควรหมักอย่างน้อย 10 วัน ถึง 20 วันการให้อาหารถ้าปลาอ้วนให้ลูกน้ำครั้งละ 3 ตัวพอหรือ 2 วันให้ครั้งอย่าให้ปลาตกใจหรือกัดขวดได้เขี้ยวจะเสีย                 
...........2. การพาลปลา   หลังจากนั้นทอนน้ำลงให้จางอีก 7 วันระหว่างนั้นพาลตัวเมียโดยหาโหลที่มีขนาดใหญ่ที่กว้างใส่ตัวเมียตัวใหญ่ให้วิ่งไล่ไปมาอย่าให้กัดกันได้ 
          .3.  การไล่ลูกไล่   เสร็จแล้วนำไปไล่ ลูกไล่ต่อประมาณ 1 ชม...โดยใช้ลูกไล่ 4 ตัวจากนั้นจึงวนน้ำสักพักให้ปลาออกกำลัง
4.  การนอนตัวเมียและนอนดิน หลังจากเลี้ยงไปได้ 6 วันตอนเย็นให้นำใบตองสดมากลัดรูปกรวยให้ปลารอดได้ใส่ในอ่างดินหาสาหร่ายมาใส่ๆตัวเมียแล้วตักตัวผู้ลงก่อนนอนปิดฝาไว้ทั้งคืนใส่ลูกน้ำ 10 ตัว เช้านำมาไล่ลูกไล่   5 นาทีจากนั้นจะได้ปลาเก่งครับ










ขอขอบคุณปลากัดเก่ง-วิกิพีเดีย


ปลากัด

เป็นปลาที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีมาแต่โบราณ โดยปลากัดสายพันธุ์ดั้งเดิมจากธรรมชาติมักเรียกติดปากว่า "ปลากัดทุ่ง" หรือ "ปลากัดลูกทุ่ง" หรือ "ปลากัดป่า" จากพฤติกรรมที่ชอบกัดกันเองแบบนี้ ทำให้นิยมนำมาเลี้ยงใช้สำหรับกัดต่อสู้กันเป็นการพนันชนิดหนึ่งของคนไทย และได้มีการพัฒนาสายพันธุ์และความสามารถในชั้นเชิงการกัดจนถึงปัจจุบัน จนเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศไทยและเป็นที่รับรู้ของชาวต่างชาติในชื่อ "Siamese fighting fish"
ในปัจจุบัน ปลากัดภาคกลางได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น มีสีสันที่สวยงามและหลากหลายขึ้น เรียกว่า "ปลากัดหม้อ" นิยมเลี้ยงในภาชนะขนาดเล็กและแคบ เช่น ขวดโหล, ขวดน้ำอัดลม เป็นต้น อีกทั้งยังได้พัฒนาสายพันธุ์ในแง่ของความเป็นปลาสวยงามอีกหลายสายพันธุ์ เช่น "ปลากัดจีน" ที่มีเครื่องครีบยาว "ปลากัดแฟนซี" ที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม "ปลากัดคราวน์เทล" หรือ "ปลากัดฮาร์ฟมูน" เป็นต้น

สายพันธุ์ปลากัด

ปลากัดจีน

เป็นชื่อที่ใช้เรียกปลากัดครีบยาวมาช้านาน เข้าใจว่าอาจมาจากลักษณะครีบที่ยาวรุ่ยร่ายสีฉูดฉาดเหมือนงิ้วจีน ปลากัดจีนเป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลาลูกหม้อ โดยผสมคัดพันธุ์ให้ได้ลักษณะที่มีครีบและหางยาวขึ้น ความยาวของครีบหางส่วนใหญ่จะยาวเท่ากับ หรือมากกว่าความยาวของลำตัวและหัวรวมกัน และมีการพัฒนาให้ได้สีใหม่ ๆ และสวยงาม โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวไทย ซึ่งได้พัฒนาสายพันธุ์สำเร็จมาช้านาน ก่อนที่ปลากัดจะถูกนำไปเลี้ยงในต่างประเทศ แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า การพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ปลากัดชนิดนี้เป็นชนิดที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามแพร่หลายไปทั่วโลก และได้มีการนำไปพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง จนได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะใหม่ ๆ ออกมาอีกมากมาย

ปลาป่าหรือปลากัดลูกทุ่ง

เป็นปลากัดที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ ตามท้องนา และหนองบึง เป็นปลาขนาดเล็กที่ไม่มีลักษณะเด่นมากนัก ส่วนมากครีบ และหางมีสีแดงเกือบตลอด มีประสีดำบ้างเล็กน้อย บางทีอาจมีแต้มสีเขียวอ่อน ๆ เรียงต่อกันเป็นเส้นสีเขียว ๆ ที่ครีบหลัง เวลาถอดสี ทั้งตัวและครีบจะเป็นสีน้ำตาลด้าน ๆ คล้ายใบหญ้าแห้ง ในปัจจุบันคำว่า "ปลาป่า" หมายความรวมถึงปลากัดพื้นเมืองภาคอีสาน และปลากัดพื้นเมืองภาคใต้ด้วย

ปลาสังกะสี และ ปลากัดลูกหม้อ

เป็นปลากัดที่นักเพาะพันธุ์ปลาได้นำมาคัดสายพันธุ์ โดยมุ่งหวังจะได้ปลาที่กัดเก่ง จากบันทึกคำบอกเล่าของหลวงอัมรินทร์สมบัติ (ครอบ สุวรรณนคร) ซึ่งเป็นนักเลงปลาเก่าเชื่อว่า ปลาสังกะสีและปลาลูกหม้อน่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2430 โดยท่านจำได้ว่าก่อนหน้านั้นยังต้องจับปลาป่ามากัดพนันกันอยู่ ต่อมานักเลงปลาบางคนก็เริ่มใช้วิธีไปขุดล้วงเอาปลาป่าที่อาศัยอยู่ตามรูปูในฤดูแล้ง มาขังไว้ในโอ่ง และเลี้ยงดูให้อาหาร พอถึงฤดูฝน ก็นำมากัดพนันกับปลาป่า ซึ่งส่วนใหญ่จะสู้ปลาขุดที่นำมาเลี้ยงไว้ไม่ได้ การเล่นปลาขุดยังนิยมเล่นกันมาถึงประมาณ พ.ศ. 2496 หลังจากนั้นก็มีการเก็บปลาที่กัดเก่งเลี้ยงไว้ข้ามปี และหาปลาป่าตัวเมียมาผสม ลูกปลาที่ได้จากการผสมในชุดแรกเรียกว่า "ปลาสังกะสีสีแดง" หรือ "ปลากัดสังกะสี" ปลาสังกะสีที่เก่ง อดทน สวยงาม ก็จะถูกคัดไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ เมื่อผสมออกมาในชุดต่อไป จะได้ปลาที่เรียกว่า "ปลาลูกหม้อ" หรือ "ปลากัดหม้อ"
ที่เรียกว่า ปลาสังกะสี สันนิษฐานว่าน่าจะได้ชื่อมาจากผิวหนังที่หนาแกร่ง ไม่ขาดง่ายเมื่อถูกกัดเหมือนปลาป่า ปลาสังกะสีมักจะตัวใหญ่ มีสีสันลักษณะต่างจากปลาป่า แต่ส่วนมากมีชั้นเชิงและความอดทนในการกัดสู้ปลาลูกหม้อไม่ได้
ส่วนที่เรียกว่า ปลาลูกหม้อ นั้น น่าจะมาจากการนำหม้อดินมาใช้ในการเพาะและอนุบาลปลากัดในระยะแรกๆ ปลาลูกหม้อจึงเป็นปลาสายพันธุ์ที่สร้างมาโดยนักเลงปลาทั้งหลาย เพื่อให้ได้ลักษณะที่ดีสำหรับการต่อสู้ และมีสีสันที่สวยงามตามความพอใจของเจ้าของ ปลาลูกหม้อมีรูปร่างหนาใหญ่กว่าปลาป่าและปลาสังกะสี ส่วนมากสีจะเป็นสีน้ำเงิน สีแดง สีเทา สีเขียว สีคราม หรือสีแดงปนน้ำเงิน ครีบหางอาจเป็นรูปมนป้าน หรือรูปใบโพธิ์ การเล่นปลากัดในสมัยก่อนนั้น ปลาลูกหม้อแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ "ลูกแท้" และ "ลูกสับ" ลูกแท้หมายถึง ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ที่มาจากครอกเดียวกัน ส่วนลูกสับหมายถึง ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ที่มาจากต่างครอกกัน

ปลากัดหางสามเหลี่ยม หรือ ปลากัดเดลตา (Delta)

เป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลากัดครีบยาว หรือปลากัดจีน โดยพัฒนาให้หางสั้นเข้าและแผ่กว้างออกไปเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบครีบหางกางทำมุม 45 - 60 องศา กับโคนหาง และต่อมาได้พัฒนาให้ครีบแผ่ออกไปกว้างมากยิ่งขึ้น เรียก "ซูเปอร์เดลตา" ซึ่งมีหางแผ่กางใหญ่กว่าปกติ จนขอบครีบหางด้านบนและล่างเกือบเป็นเส้นตรง

ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีก หรือ ฮาล์ฟมูน (Halfmoon)

เป็นปลากัดที่มีหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลม โดยขอบครีบหางจะแผ่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเป็นมุม 180 องศา ได้มีแนวคิดและความพยายามในการที่จะพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ในประเทศเยอรมนี แต่เพิ่งประสบผลสำเร็จเมื่อราว พ.ศ. 2530 โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวฝรั่งเศสและชาวเยอรมัน ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกมีลักษณะที่สำคัญ คือ ครีบหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลม โดยขอบครีบด้านหน้าจะแผ่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเป็นมุม 180 องศา ครีบด้านนอกเป็นขอบเส้นโค้งของครึ่งวงกลม ก้านครีบหางแตกแขนง 2 ครั้ง เป็น 4 แขนง หรือมากกว่า ปลาที่สมบูรณ์จะต้องมีลำตัวและครีบสมส่วนกัน โดยลำตัวต้องไม่เล็กเกินไป ครีบหางแผ่ต่อเนื่องหรือซ้อนทับกับครีบหลังและครีบก้น จนเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน ขอบครีบหลังโค้งมนเป็นส่วนหนึ่งของวงกลม เส้นขอบครีบทุกครีบโค้งรับเป็นเส้นเดียวกัน (ยกเว้นครีบอก) ปลายหางคู่ที่แยกเป็น 2 แฉกจะต้องซ้อนทับและโค้งมนสวยงาม ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกที่แท้จริงจะต้องมีขอบครีบหางแผ่ทำมุม 180 องศา ได้ตลอดไป ถึงแม้ปลาจะมีอายุมากขึ้นก็ตาม

ปลากัดหางมงกุฎ หรือ ปลากัดคราวน์เทล (Crowntail)

เป็นปลากัดที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นใน พ.ศ. 2543 โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวอินโดนีเซีย เป็นปลากัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีหางจักเป็นหนามเหมือนมงกุฎ และเป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของปลากัดชนิดนี้คือ ก้านครีบจะโผล่ยาวออกไปจากปลายหาง ลักษณะดูเหมือนหนาม ซึ่งอาจยาวหรือสั้นแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับลักษณะการแยกของปลายหนาม และการแยกการเว้าโคนหนามก็มีหลายรูปแบบ ปลากัดหางมงกุฎที่สมบูรณ์จะมีครีบหางแผ่เต็มซ้อนทับได้แนวกับครีบอื่น ๆ และส่วนของหนามมีการจัดเรียงในรูปแบบที่สวยงามสม่ำเสมอ

ปลากัดประเภทอื่น

นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีปลากัดประเภทอื่น ๆ เช่น "ปลากัดเขมร" ที่ใช้เรียกปลากัดที่มีสีลำตัวเป็นสีอ่อนหรือเผือก และมีครีบสีแดง "ปลากัดหางคู่" ซึ่งครีบหางมีลักษณะเป็น 2 แฉก อาจแยกกันอย่างเด็ดขาด หรือที่ตรงโคนยังเชื่อมติดกันอยู่ก็ได้ รวมทั้งปลากัดที่เรียกชื่อตามรูปแบบสี เช่น "ปลากัดลายหินอ่อน" และ "ปลากัดลายผีเสื้อ"

อัลบั้มภาพ

.                      

                ขอขอบคุณปลากัดไทย-วิกิพีเดีย
                           

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557


ปลากัดหม้อ (Shotfin Betta Splendens) 
เป็นปลาที่ได้รับความนิยมเล่น นิยมเลี้ยงไว้กัดกันมาแต่โบราณกาล มีรูปร่างและลำตัวที่ใหญ่กว่าปลากัดทุ่งและลูก ผสม มีปากใหญ่ ตัวใหญ่ สีเข้มเป็นปลากัดที่ได้รับ การยอมรับว่าเป็นปลาที่มีน้ำอดน้ำทนมากและยังกัดได้เก่งทนทรหดได้ดี กว่าปลากัดชนิดอื่น ๆ ดังนั้นปลากัดหม้อจึงเป็นปลากัดที่มีผู้เลี้ยงกันมากกว่าปลากัดทุ่งและ ปลาลูกผสม เพราะ ความที่ปลากัดหม้อ เป็นปลากัดที่มีเลือดของนักสู้เกิน 100 และยังมีประวัติการเป็นนักสู้เป็นที่ประจักษ์แก่นักเล่นปลามาแต่สมัยโบราณมาจนทุกวัน นี้ ปลากัดหม้อที่มีอยู่ในมือ นักเล่นนักเลี้ยงปลากัดเวลานี้มีอยู่ 5 สีด้วยกัน คือ
1. สีน้ำเงิน
2. สีแดง
3. สีประดู
4. สีเขียวคราม
5. สีเทาหรือสีเหล็ก
       รูปร่างลักษณะหม้อที่มีชื่อเสียงดีและมีประวัติการกัดเก่งที่ได้พิสูจน์กันมาแล้วว่าเป็นปลากัดที่ดีเลิศ ปากคม และกัด ทน มี 3 รูปลักษณะ คือ
       1. ปลากัดหม้อรูปปลาช่อน สังเกตได้จากลักษณะปลาที่มีหน้าสั้น ลำตัวหนา ช่วงหัวยาว และโคนหางใหญ่ ซึ่งได้ แสดงถึงความเป็นปลาที่มีพละกำลังมาก กัดได้รุนแรง และมีประวัติการกัดชนะเป็นอันดับหนึ่ง
       2. ปลากัดหม้อรูปปลากราย สังเกตได้จากลักษณะของปลาทีมีหน้าหงอนขึ้น ลำตัวสั้นและแบนเป็นปลาที่ว่ายหรือ เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและกัดได้ไวซึ่งนับ ได้ว่าเป็น ปลากัดที่มีประวัติศาสตร์การกัดไดัเสมอเหมือนกัน
       3. ปลากัดหม้อรูปปลาหมอสังเกตได้จากลักษณะของตัวปลาที่มีรูปร่างคล้ายๆกับปลากราย แต่มีหน้ากลมและลำตัว สั้น เป็นปลาที่เล่าขานกันว่าเป็นปลาที่ทรหด อดทน และกัดได้ไว ถือได้ว่าเป็นปลาทีมีประวัติการกัดดีมากตัวหนึ่ง
        นอกจากจะดูที่รูปร่างและสีสันของปลากัดที่ดีเลิศแล้ว และยังจะต้องดูลักษณะของปลาตรงตามตำราแล้วก็จะต้องมีสี ตรงตามตำราอีก และไม่มีเกล็ดสีแดงแซม เลยหรือ ถ้าเป็นปลาออกสีแดงเข้มออกดำก็จะต้องไม่มีเกล็ดเขียวแซมเช่นกัน ปลา ที่มีสีสันและรูปร่างตรงตามตำราเช่นนี้จัดว่าเป็นปลาที่มีลักษณะดีเยี่ยมปลากัดหม้อไม่ เหมือนปลากัด ลูกทุ่ง เพราะไม่อาจ จะไปช้อนเอาจากริมคลองหนองบึงหรือแอ่งตีนควายไม่ได้ เพราะปลากัดหม้อไม่ได้มาจากการเพาะพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์ที่ดี มา หลายชั่วอายุคน ซึ่งได้ แสดงถึงภูมิปัญญาคนไทยโบราณจนได้ปลากัดที่มีรูปร่างแข็งแรงลำตัวหนา และยังว่ายน้ำได้ปราด เปรียวและมีสีสันสวยงาม ตลอดระยะเวลา ของการคัดพันธุ์ได้วางเป้าหมาย ไว้เพื่อที่จะให้ได้ปลาเพื่อการต่อสู้โดยเฉพาะ เพราะ ฉะนั้นการหาปลากัดหม้อมาเลี้ยงและผสมพันธุ์ขึ้นเองโดยจะต้องหาปลากัด ทั้งตัวผู้และตัวเมียที่มีความทรหดปากคคมกัด เก่งและยังต้องเลือกปลากัดหม้อพันธุ์แท้จริงๆ เพราะถ้าตัวหนึ่งเป็นปลากัดหม้อแต่อีกตัวหนึ่งเป็นพันธุ์อื่นๆ ลูกที่ได้มา จะเป็นปลากัดลูก ผสมไป จะเสียทั้งราคาและศักดิ์ศรี
ปัจจุบันได้แบ่งสีของปลากัดหม้อไว้ 3 ประเภท คือ
          1. สีเดียว (Solid Colour)
          2. สองสี (Bi-Colour)
          3. หลากสี (Multi-Colour) แต่โบราณกาลนั้นปลากัดหม้อถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อกัดในชุมชน และต่อมาได้พัฒนาเป็นการเพาะพันธุ์ในเชิงพาณิชย์ โดยแบ่งปลา กัดหม้อออกเป็น 2 ประเภท คือปลาเก่งและปลาโหลปลาเก่ง คือปลาที่เพาะพันธุ์ขึ้นเพื่อการพนันโดยตรง จะต้อง เป็นปลาที่กัดได้ไว คม กัดถูกเป้าหมายสำคัญและทน ทานปลาโหล คือ ปลาที่เพาะเชิงปริมาณ ไม่เน้นความสามารถในการกัด แต่เพื่อเป็นงานอดิเรกเป็นหลักหรือเรียกว่าเลี้ยงเอาไว้ดูเล่นเพลิน ๆ ตาดีเท่านั้นปัจจุบันได้มีการ เพาะพันธุ์ปลาหม้อเพิ่มอีก รูปแบบหนึ่งออกมาก็คือเพาะเพื่อให้ได้สีที่ต้องการ เช่น สีเดียวหรือสีแปลก ๆ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
         เป็นที่เข้าใจกันว่าปลากัดหม้อมีจำหน่ายภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ส่งออกได้ไม่มากนัก เนื่องจากโลกนิยม ตะวันตกไม่นิยมการกัดปลา เพราะมองว่าเป็น การทรมานสัตว์แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีชาวเอเซียไปอยู่ในโลกตะวันตกกัน มากขึ้น จึงทำให้ปลากัดหม้อเริ่มเป็นที่นิยมของคนเอเซียในต่างประเทศ และขณะเดียว กันนั้นชาวตะวันตกทั้งในยุโรปและทวีป อเมริกาก็เริ่มให้ความสนใจกับปลากัดหม้อกันมากขึ้น น่าจะทำให้ไทยมีโอกาสจะส่งออกได้อีกมากก็ได้

ขอขอบคุณ ปลากัดหม้อ-วิกิพีเดีย
ประวัติปลากัด

ปลากัด (Betta splendens Regan)เป็นปลาพื้นเมืองของไทยที่นิยมเพาะเลี้ยงมาตั้งแต่โบราณ เป็นเวลาหลายร้อยปี มาแล้ว ทั้งเพื่อไว้ดูเล่น และเพื่อกีฬากัดปลา และเป็นที่รู้จักกันดีในต่าง ประเทศมานานเช่นกัน ได้มีการนำปลากัดไปเลี้ยงในยุโรป ตั้งแต่พ.ศ. 2414 ได้ นำไปทำการเพาะเลี้ยงกันอย่างกว้างขวาง และเพาะได้สำเร็จที่ ประเทศ ผรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2436 ปัจจุบันประเทศไทยมีการเพาะพันธุ์กันแพร่ หลาย เนื่องจากเป็นปลาที่เลี้ยง และเพาะพันธุ์ได้ง่าย ปีหนึ่งประเทศไทยส่ง ปลากัดไปขายยังต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาทปลากัดพันธุ์ดั้งเดิม ใน ธรรมชาติ มีสีน้ำตาลขุ่นหรือสีเทาแกมเขียว ครีบและหางสั้น ปลาเพศผู้มีครีบ และหางยาวกว่าเพศเมีย เล็กน้อย จากการเพาะพันธุ์และการคัดพันธุ์ติดต่อกันมา นานทำให้ได้ปลากัดที่มีสีสันสวยงามหลายสี อีกทั้งลักษณะครีบก็แผ่กว้างใหญ่ สวยงามกว่าพันธุ์ดังเดิมมากและจากสาเหตุนี้ทำให้มีการจำแนกพันธุ์ปลากัด ออก ไปได้เป็นหลายชนิด เช่น ปลากัดหม้อ ปลากัดทุ่ง ปลากัดจีน ปลากัดเขมร ปลากัด พม่า เป็นต้น เนื่องจาก
ปลากัดเป็นปลาขนาดเล็ก เจริญเติบโตดีในภาชนะแคบ ๆ และในการเลี้ยงไม่ต้องใช้ เครื่องช่วยเพิ่มออกซิเจน ในน้ำ จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้เป็นสัตว์ทดลองในห้อง ปฏิบัติการครับ

การพัฒนาปลากัดหม้อเป็นปลากัดฮาล์ฟมูล
514_1.jpg 




ปลากัดป่าปลากัดป่า หรือ ปลาลูกทุ่ง ที่พบในธรรมชาติ ตามท้องนา หนองบึง ส่วนใหญ่จะเป็นปลาขนาดเล็กที่ไม่เด่นมากนัก ในสภาพปกติสีอาจเป็นสีน้ำตาลเทาหม่น หรือสีเขียว และอาจมีแถบดำจาง ๆ พาดตามความยาวของลำตัว อาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ระหว่างพรรณไม้น้ำในที่ตื้น ความพิเศษของปลากัด อยู่ที่ความเป็นนักสู่โดยธรรมชาติเมื่อพบปลาตัวอื่นจะเข้าต่อสู้กันทันที และที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือการที่ปลาตัวผู้สามารถเปลี่ยนสีให้งดงามเมื่อถูก กระตุ้น ในสภาวะตื่นตัวครีบทุกครีบจะแผ่กางออกเต็มที่ แผ่นเยื่อหุ้มเหงือขยายพองตัวออก พร้อมกับสีน้ำเงินหรือแดงที่ปรากฏขึ้นมาชัดเจนในโทน ต่าง ๆ ทำให้ดูสง่าอาจหาญ และสวยงาม ปลาป่าแท้นั้นส่วนมากครีบ หางและกระโดงที่ภาษานักแปลงปลาเรียกรวมว่า “เครื่อง” จะมีสีแดงเกือบตลอดมีประดำบ้างเล็กน้อย บางทีอาจมีเส้น เขียว ๆ แซมบ้าง อย่างที่เรียกว่าเขียวก็มีเพียงแต้มเขียวอ่อน ๆ ที่กระโดงเท่านั้น เวลาถอดสีปกติทั้งตัวและ เครื่องเป็นสีน้ำตาลจืด ๆ คล้ายใบหญ้าแห้ง ที่ห้อยแช่น้ำอยู่ ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ ปลากัดก็คือเป็นปลาที่มีอวัยวะช่วยหายใจพิเศษที่อยู่บริเวณเหงือกทำให้ปลา สามารถใช้ออกซิเจน จากการฮุบอากาศได้โดยตรง ปลากัดจึงสามารถทนทานดำรงชีวิตอยู่ได้ในที่ที่มีออกซิเจนต่ำ ตำนานเล่าขานของปลากัดจึงค่อนข้างแปลกประหลาด ไปกว่าสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ บทความ “ธรรมชาติของปลากัดไทย) โดย ม.ล. ยิ่งศักดิ์ อิศรเสนา ที่เขียนไว้เมื่อปี 2496 ได้พูดถึงการขุดหา ปลากัดในรูปูนา ตามขอบหนอง ชายบึง ริมคู และรางน้ำ ซึ่งปลากัดเข้าไปอยู่อาศัยปน อยู่กับปูในรูตั้งแต่ต้นฤดูหนาว เมื่อน้ำเริ่มลดไป จนตลอดหน้าแล้งปูก็จะขุดรูลึก ตามระดับน้ำลงไปเรื่อย ๆ ปลากัดจะออกมาแพร่พันธุ์ใหม่ในต้นฝนในเดือนพฤษภาคม กระจายออกไปหากินตามที่มีหญ้ารก ๆ ในเขตน้ำตื้นปลากัด เป็นปลาที่ชอบน้ำตื้น จึงไม่พบตามแม่น้ำลำคลอง หนองบึง ที่มีน้ำลึก อันที่จริงในธรรมชาติการต่อสู่กันของปลากัดไม่จริงจังเท่าไรนัก ส่วนมากมักแผ่พองครีบหางขู่กันเพื่อแย่งถิ่น บางตัวเห็นท่าไม่ดีก็อาจเลี่ยงไปโดยไม่ ต่อสู้กันเลยก็มี แต่บางคู่ก็ต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ปลาตัวผู้ตัวไหนที่ยึดชัยภูมิเหมาะได้ที่ ก็จะก่อหวอดไว้แล้วพองตัวเบ่งสี เกี้ยวตัวเมียที่ผ่านไปมา เพื่อผสมพันธุ์วางไข่

514_2.jpg 


ปลากัดหม้อ
Bettar Fighting Fish
ปลาลูกหม้อหรือปลาหม้อนั้นเป็นปลากัดที่ถูกนำมาคัดสายพันธ ุ์โดยนักพันธุศาสตร์สมัครเล่นชาวไทยที่มุ่งหวัง จะได้ปลาที่กัดเก่ง จากบันทึกคำบอกเล่า ของนักเลงปลาเก่าอย่าง หลวงอัมรินทร์สมบัติ (ครอบสุวรรณนคร) คาดว่า ปลาลูกหม้อน่าจะถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงประมาณปี 2430 ซึ่งท่านจำได้ว่า ก่อนหน้านั้น ยังต้องจับปลาป่า มากัดพนันกันอยู่ต่อมานักเลงปลาบางคนก็เริ่มใช้วิธีไปขุดล้วงเอาปลาป่าที่ อาศัยอยู่ตามรูปูในหน้าแล้งมาขังไว้ในโอ่ง มาเลี้ยงดูให้อาหาร พอถึงฤดูฝนก็นำมากัดพนันกับปลาป่า ซึ่งส่วนใหญ่จะสู้ปลาขุดที่เลี้ยงมาไม่ได้ การเล่นปลาขุดนี้ยังนิยมเล่นกันมาถึงประมาณ ปี 2496 หลังจากนั้นก็มีการเก็บปลาที่กัดเก่งเลี้ยงไว้ข้ามปี และหาปลาป่าตัวเมียมาผสม ลูกปลาที่ได้จากการผสมในชุดแรกจะเรียกว่า “ปลาสังกะสี” ซึ่งสัณนิษฐานว่าน่าจะได้ ชื่อมาจากผิวหนังที่หนาแกร่ง ไม่ถูกกัดขาดง่ายเหมือนปลาป่าและปลาขุด ปลาสังกะสีมักจะตัวใหญ่ สีสันลักษณะ ต่างจากปลาป่าและปลาขุด นักเลงปลาป่าจึงมักไม่ยอมกัดพนันด้วย จึงต้องกัดแข่งขันระหว่างปลาสังกะสีด้วยกันเอ ปลาสังกะสีที่เก่ง อดทน สวยงามก็จะถูกคัดไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ เมื่อผสมออกมา ก็จะได้ปลาลักษณะรูปพรรณสีสันที่สวยงาม แปลกออกไปตามอัธยาศัยของผู้ผสมพร้อม ความเก่ง และอดทนในการกัดจะว่าไปแล้วพันธุศาสตร์สัตว์น้ำของเมืองไทย นับได้ว่าเริ่มมาตั้งแต่ยุคนี้ คำว่า “ลูกหม้อ” นั้นมาจากการใช้หม้อดินในการเพาะและอนุบาลปลากัด ในระยะแรก ๆ ปลาลูกหม้อจึงเป็นปลาสายพันธุ์ ที่สร้างมาแท้ ๆ กับมือของนักเลงปลาทั้งหลาย เพื่อให้ได้ลักษณะที่ดีสำหรับการต่อสู้และให้มีสีสันที่สวยงามตามความพอใจ ของเจ้าของ ปลากัดลูกหม้อจึงมีรูปร่าง หนาใหญ่กว่าปลากัดชนิดอื่น สีสันสวยงามดูแล้วน่าเกรงขามกว่าพันธุ์อื่น ๆ สีส่วน มากจะเป็นสีน้ำเงิน แดง เทา เขียว คราม หรือแดงปนน้ำเงิน ใน การเล่นปลากัดในยุคก่อนนั้นปลาลูกหม้อจะมีสองประเภท “ลูกแท้” และ “ลูกสับ” ลูกแท้ หมายถึง ลูกปลาที่เกิดจากพ่อแม่ ่ที่มาจากครอกเดียวกัน และลูกสับหมายถึงลูกปลาที่เกิด จากพ่อแม่ที่มาจากคนละครอก ปลากัดลูกหม้อนี้ถ้าเอาไปผสมกลับกับปลาป่าลูกปลาก็จะ เรียกว่า “สังกะสี” เช่นเดียวกัน ซึ่งปลาสังกะสีซึ่งเกิดจากการผสมกลับแบบนี้ส่วนมากก็จะมีชั้นเชิงและน้ำอด น้ำทนในการกัดสู้ลูกหม้อไม่ได้ “ลูกหม้อ” จึง เป็นสุดยอดของปลากัดสำหรับนักเลงปลาทั้งหลาย ในระยะหลัง ๆ ก็อาจมีการพูดถึงสายพันธุ์ “มาเลย์” หรือ “สิงคโปร์” ซึ่งว่ากันว่ากัดเก่งหนังเหนียวแต่โดยแท้จริงก็คือปลาลูกหม้อ นั่นเอง เพียงแต่ว่าในระยะต่อมามีการประยุกต์ใช้กลวิธีการ หมักปลาด้วยสมุนไพร ใบไม้ ว่าน ดินจอมปลวก และอื่น ๆ เพื่อช่วยเคลือบเกล็ดปลา ที่เชื่อกันว่าจะทำให้เกล็ดแข็งกัดเข้า ได้ยาก ควบคู่ไปกับการคัดเลือกพันธุ์ ถึงอย่างไร ลูกหม้อก็คือลูกหม้อที่เราชาวไทยพัฒนามาแต่โบราณแม้จะถูกนำไป พัฒนาสายพันธุ์ในที่อื่นก็ยังคงเป็นลูกหม้อไทยตัวเดิมนั่นเอง



514_3.jpg 

ปลากัดจีนเป็นชื่อที่ใช้เรียกปลากัดครีบยาวมาช้านาน เข้าใจว่าอาจมาจากลักษณะครีบที่ยาวรุ่ยร่ายสีฉูดฉาดเหมือนงิ้วจีน ปลากัดจีนเป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลาลูกหม้อ โดยผสมคัดพันธุ์ให้ได้ลักษณะที่มีครีบและหางยาวขึ้น ความยาวของครีบหางส่วนใหญ่จะยาวเท่ากับ หรือมากกว่าความยาวของลำตัวและหัวรวมกัน และมีการพัฒนาให้ได้สีใหม่ๆ และสวยงาม โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวไทย ซึ่งได้พัฒนาสายพันธุ์สำเร็จมาช้านาน ก่อนที่ปลากัดจะถูกนำไปเลี้ยงในต่างประเทศ แต่ไม่มีการบันทึกไว้ว่า การพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ปลากัดชนิดนี้เป็นชนิดที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามแพร่หลายไปทั่วโลก และได้มีการนำไปพัฒนาสายพันธุ์ต่อเนื่อง จนได้สายพันธุ์ที่มีลักษณะใหม่ๆ ออกมาอีกมากมาย

514_4.jpg 


ปลากัดหางสามเหลี่ยม หรือปลากัดเดลตาเป็นปลาที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากปลากัดครีบยาว หรือปลากัดจีน โดยพัฒนาให้หางสั้นเข้าและแผ่กว้างออกไปเป็นรูปสามเหลี่ยม ขอบครีบหางกางทำมุม ๔๕ – ๖๐ องศา กับโคนหาง และต่อมาได้พัฒนาให้ครีบแผ่ออกไปกว้างมากยิ่งขึ้น เรียก “ซูเปอร์เดลตา” ซึ่งมีหางแผ่กางใหญ่กว่าปกติ จนขอบครีบหางด้านบนและล่างเกือบเป็นเส้นตรง

514_5.jpg 


ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีก หรือปลากัดฮาล์ฟมูนเดลตาเป็นปลากัดที่มีหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลม โดยขอบครีบหางจะแผ่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเป็นมุม ๑๘๐ องศา ได้มีแนวคิดและความพยายามในการที่จะพัฒนาปลากัดสายพันธุ์นี้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ในประเทศเยอรมนี แต่เพิ่งประสบผลสำเร็จเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวฝรั่งเศสและชาวเยอรมัน
ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกมีลักษณะที่สำคัญ คือ ครีบหางแผ่เป็นรูปครึ่งวงกลม โดยขอบครีบด้านหน้าจะแผ่เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันเป็นมุม ๑๘๐ องศา ครีบด้านนอกเป็นขอบเส้นโค้งของครึ่งวงกลม ก้านครีบหางแตกแขนง ๒ ครั้ง เป็น ๔ แขนง หรือมากกว่า ปลาที่สมบูรณ์จะต้องมีลำตัวและครีบสมส่วนกัน โดยลำตัวต้องไม่เล็กเกินไป ครีบหางแผ่ต่อเนื่องหรือซ้อนทับกับครีบหลังและครีบก้น จนเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน ขอบครีบหลังโค้งมนเป็นส่วนหนึ่งของวงกลม เส้นขอบครีบทุกครีบโค้งรับเป็นเส้นเดียวกัน (ยกเว้นครีบอก) ปลายหางคู่ที่แยกเป็น ๒ แฉกจะต้องซ้อนทับและโค้งมนสวยงาม ปลากัดหางพระจันทร์ครึ่งซีกที่แท้จริงจะต้องมีขอบครีบหางแผ่ทำมุม ๑๘๐ องศา ได้ตลอดไป ถึงแม้ปลาจะมีอายุมากขึ้นก็ตาม


514_6.jpg 


ปลากัดหางมงกุฎ หรือปลากัดคราวน์เทลเป็นปลากัดที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยนักเพาะเลี้ยงปลากัดชาวสิงคโปร์ เป็นปลากัดสายพันธุ์ใหม่ที่มีหางจักเป็นหนามเหมือนมงกุฎ และเป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ได้รับความนิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของปลากัดชนิดนี้คือ ก้านครีบจะโผล่ยาวออกไปจากปลายหาง ลักษณะดูเหมือนหนาม ซึ่งอาจยาวหรือสั้นแตกต่างกันออกไป เช่นเดียวกับลักษณะการแยกของปลายหนาม และการแยกการเว้าโคนหนามก็มีหลายรูปแบบ ปลากัดหางมงกุฎที่สมบูรณ์จะมีครีบหางแผ่เต็มซ้อนทับได้แนวกับครีบอื่นๆ และส่วนของหนามมีการจัดเรียงในรูปแบบที่สวยงามสม่ำเสมอ  




ขอขอบคุณ ปลากัด-วิกิพีเดีย